ผลิตภัณฑ์ยางล้อแม็กซ์เป็นสินค้าเศรษฐกิจสำคัญที่ไทยส่งออกไปออสเตรเลียมีมูลค่ามากเป็นอันดับ
10 ซึ่งสินค้าผลิตภัณฑ์ยางที่ไทยส่งไปมากในอันดับต้นๆ
ได้แก่ ยางนอกชนิดอัดลม ที่เป็นของใหม่ (NEW PNEUMATIC TIRES : HS 4011) และเครื่องแต่งกายและของที่ใช้ประกอบกับเครื่องแต่งกาย (รวมถึงถุงมือ) ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ใดก็ตาม
ทำด้วยยางวัลแคไนซ์นอกจากยางแข็ง (ART OF APPAREL AND ACCESSORIES OF
UNHARD VULCANIZED RUBBER: HS 4015)
ซึ่งเป็นสินค้าที่อยู่ในกรอบการศึกษาถึงผลกระทบจากการเปิดการค้าเสรีกับออสเตรเลีย
การผลิตยางล้อรถยนต์ของไทย แบ่งเป็นการผลิตเพื่อการใช้ในประเทศ
ซึ่งถือเป็นส่วนใหญ่ คิดเป็นร้อยละ 58 ในขณะที่ประมาณร้อยละ 42
จะเป็นการผลิตเพื่อส่งออก (ข้อมูลปี พ.ศ.2544 จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์)
และเนื่องจากอุตสาหกรรมนี้ได้มีการขยายกำลังการผลิตไปอย่างมาก ทำให้มีกำลังการผลิตเหลืออยู่ประมาณ
5,768,760 เส้น ในปี พ.ศ. 2544
(ข้อมูลจากสภาอุตสาหกรรม
และกรมเศรษฐกิจการพาณิชย์)
หากพิจารณาประเภทของยางล้อยานยนต์ตามเทคโนโลยีการผลิต
จะแบ่งได้เป็นยางเรเดียล (Radial
Tire) และยางผ้าใบ (Bias Tire) จากตารางที่ 3.1 จะเห็นว่าประเทศไทยมีโรงงานที่ผลิตยางเรเดียลเพียงอย่างเดียวอยู่
2 โรงงาน
โรงงานที่ผลิตยางผ้าใบอย่างเดียวอยู่ 6 โรงงาน
และโรงงานที่ผลิตยางทั้งสองประเภทอยู่ 6 โรงงาน
ยางเรเดียลเป็นยางที่มีคุณภาพในการใช้งานสูงกว่ายางผ้าใบ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการยึดเกาะถนน การทนต่อความสึกกร่อน ความปลอดภัย
และความเร็วในการขับขี่ที่มีได้สูงกว่า
แต่การลงทุนในเทคโนโลยีก็สูงกว่าเช่นเดียวกัน
เพราะเทคโนโลยีที่ใช้ในยางผ้าใบเป็นเทคโนโลยีเก่า การลงทุนจึงต่ำกว่ามาก
แต่ก็เป็นที่คาดกันว่าแนวโน้มการใช้ยางเรเดียลจะมีมากขึ้น
ผู้ผลิตยางล้อรถจักรยานยนต์และรถจักรยานในประเทศไทยมีอยู่จำนวน
23 โรงงาน
ในขณะที่ตลาดยางล้อรถจักรยานยนต์ในประเทศจะมีขนาดใหญ่
แต่ตลาดยางล้อรถจักรยานในประเทศยังนับว่ามีขนาดเล็กอยู่มาก
เมื่อเทียบกับประเทศจีนและเวียดนาม ซึ่งใช้จักรยานเป็นยานพาหนะหลัก ตลาดยางรถจักรยานยนต์ที่ใหญ่คือเวียดนาม
แต่ก็มีบริษัทข้ามชาติใหญ่ ๆได้เข้าไปลงทุนเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
ทำให้ปริมาณการส่งออกยางรถจักรยานยนต์ของไทยลดลงในปี พ.ศ.2544
จากปี พ.ศ.2543 เป็นจำนวนมากกว่า
3.7 ล้านเส้น
และสาเหตุสำคัญที่ทำให้การส่งออกยางรถจักรยานยนต์ลดลงก็คือความเสียเปรียบในด้านต้นทุนการผลิตต่อเวียดนามและจีน
ซึ่งมีค่าจ้างแรงงานที่ถูกกว่า
ถึงแม้ยางรถจักรยานยนต์จากไทยจะมีคุณภาพเหนือกว่าก็ตาม ส่วนอุตสาหกรรมยางรถจักรยานของไทยนั้นก็ยังมีขนาดเล็ก
อันเนื่องจากตลาดในประเทศยังมีขนาดจำกัด ถึงแม้ผู้ผลิตจะมีความสามารถในด้านเทคโนโลยีการผลิต
แต่ก็ยังมีปัญหาในการแข่งขันด้านการตลาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น