วันพุธที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2556

FTAไทย-ญี่ปุ่นอุ้มอุตฯรถยนต์ไทยกสิกรไทยชี้เปิดโอกาสชิ้นส่วนไทยแก้จุดอ่อนเสริมจุดแข็งก่อนเปิดเสรีปี 2554

แหล่งข่าวจากวงการรถยนต์ ล้อแม็กซ์ เปิดเผยว่า  ข้อสรุปในการเจรจาครั้งนี้ จะทำให้รถยนต์หรูหราของญี่ปุ่นมีโอกาสในการเปิดตลาดมากขึ้นกว่าเดิม และอาจสั่นคลอนตลาดค่ายรถยนต์ยุโรปได้   โดยค่ายรถชั้นนำอย่างเลกซัส รุ่นเครื่องยนต์ขนาดเกินกว่า 3,000 ซีซี. มีโอกาสที่จะทำราคาและยอดขายมาเบียดกับบีเอ็มดับเบิลยู 735 หรือเบนซ์ เอส 350 ก็เป็นได้

          ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ถึงการเปิดเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่น ว่า การเจรจาที่ผ่านมา  ข้อเสนอของทางญี่ปุ่นในการเปิดเสรีนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์และรถยนต์สำเร็จรูป (Completely-Built-Up:CBU) ภายในเวลาอันรวดเร็วนั้น  ได้รับการคัดค้านจากหลายฝ่ายรวมทั้งจากผู้ประกอบการในประเทศ  ทั้งจากกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ของคนไทยในประเทศ  และจากกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ค่ายตะวันตกคือยุโรปและสหรัฐ  เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อดุลการค้าไทยที่กำลังประสบปัญหาขาดดุลอยู่ในขณะนี้ เพราะการเปิดเสรีจะยิ่งทำให้มูลค่านำเข้าของไทยเพิ่มสูงขึ้น   ทั้งการนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์จากญี่ปุ่น  และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทะลักเข้ามาของรถยนต์สำเร็จรูปจากญี่ปุ่น   ซึ่งเป็นการนำเข้าเพื่อการบริโภคเท่านั้นมิได้ก่อประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจ  อีกทั้งไม่ก่อให้เกิดผลต่อการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ
          ขณะเดียวกัน  ค่ายผู้ผลิตรถยนต์ใหญ่ๆทั้งจากยุโรปและสหรัฐมีการยื่นหนังสือที่ลงนามโดยผู้แทนของค่ายผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายรถยนต์จากยุโรปและสหรัฐในประเทศไทยรวม 8 บริษัท เสนอต่อรัฐบาลไทยไปเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยระบุถึงผลกระทบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเด็นการลดภาษีนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปขนาดเครื่องยนต์ตั้งแต่ 3,000 ซีซีขึ้นไป(ซึ่งก็คือรถยนต์นั่งประเภทหรูหรา)จากประเทศญี่ปุ่นโดยทันที และให้ยกเลิกภาษีภายในปี 2553   อันจะส่งผลต่ออุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ในไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นการลงทุนจากค่ายรถใหญ่ๆจากยุโรปและสหรัฐ ซึ่งปัจจุบันได้มีการผลิตรถยนต์หลากหลายรุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยนต์นั่งประเภทหรูหราซึ่งส่วนใหญมีขนาดเครื่องยนต์ระหว่าง 2,500-3,000 ซีซี. ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก   เพราะข้อตกลงดังกล่าวจะสร้างความได้เปรียบเสียเปรียบให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศต่างๆ ที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยไม่เท่าเทียมกัน แต่ในที่สุด ได้สรุปให้มีลดภาษีแบบขั้นบันได ลดจาก 80 % เป็น 60 % ภายใน 4 ปี
          นอกจากนี้ ทางไทยยืนยันจะไม่การลดภาษีนำเข้ารถยนต์สำเร็จรูปในเวลานี้  ทั้งนี้เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ   ซึ่งจากอดีตจนปัจจุบันนอกเหนือจากรถยนต์กระบะขนาดหนึ่งตันซึ่งมีขนาดเครื่องยนต์อยู่ที่ประมาณ 2,000-2,500 ซีซี.แล้ว   รถยนต์นั่งที่ผลิตได้ในประเทศเกือบทั้งหมดเป็นรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า 3,000 ซีซี.   ทั้งนี้ในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้  จากปริมาณการผลิตรถยนต์ในประเทศทั้งหมด 517,829  คัน    ในจำนวนนี้เป็นรถยนต์นั่งจำนวน 131,881  คัน ดังนั้น การเปิดเสรีรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ต่ำกว่า 3,000 ซีซี. จึงไม่มีความจำเป็นในขณะนี้เพราะจะส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในประเทศ
          ศูนย์วิจัยกสิกรไทย  ระบุต่อไปว่า  การเจรจาได้ข้อสรุปว่าทางไทยจะเปิดเสรีชิ้นส่วนยานยนต์ โดยจะมีการกำหนดระยะเวลาให้ลดอัตราภาษีเหลือร้อยละ 0 ในปี 2554  เพื่อให้ผู้ผลิตของไทยมีเวลาปรับตัวเพื่อรับกับการแข่งขันที่จะเพิ่มขึ้น   อันจะเป็นการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิตเพื่อการแข่งขันในตลาดโลกตามเป้าหมายการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนของไทย   อีกทั้งการลดภาษีชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีคุณภาพจากญี่ปุ่นเพื่อนำมาใช้อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ส่งออกก็จะเป็นการสนับสนุนเป้าหมายสู่การศูนย์กลางการผลิตยานยนต์เพื่อส่งออกไปตลาดโลกหรือดีทรอยต์แห่งเอเชียด้วย
          อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยเห็นว่าการเปิดเสรีชิ้นส่วนยานยนต์ดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตของคนไทย ซึ่งจะต้องมีการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้  แต่ทั้งนี้คาดว่าภาครัฐน่าจะเข้ามาเสริมสร้างการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในประเทศเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก  ไม่ว่าจะเป็นการดูแลในด้านวัตถุดิบทั้งยาง  พลาสติก และเหล็ก ให้มีปริมาณ คุณภาพ และต้นทุนที่เหมาะสม  และที่สำคัญคือการพัฒนาบุคลากรในประเทศ ให้มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอที่จะรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น